บินดีอย่างมีระดับ กับเที่ยวบินตรงไปฝรั่งเศสด้วยชั้นธุรกิจ “Royal Silk” โดยการบินไทย Airbus A380
“จะ ดีแค่ไหน หากการเดินทางครั้งต่อไป จะเป็นการเดินทางไปพบเจอกับสิ่งใหม่ ๆ ที่เราใฝ่ฝัน และจะดีแค่ไหน หากการเดินทางครั้งนั้น จะเป็นการเดินทางที่สะดวกสบาย สุดแสนประทับใจ”
สวัสดีครับท่าน ผู้อ่านทุกท่าน กลับมาพบกับผม PocketTH กันอีกครั้งในการเดินทางครั้งใหม่ วันนี้ผมขอเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการเดินทางไปยังดินแดนเมืองน้ำหอม “ประเทศฝรั่งเศส” ด้วยเที่ยวบินตรงของการบินไทย เที่ยวบินที่ TG930 เส้นทาง สุวรรณภูมิ – ปารีส ชาร์ล เดอ โกล (BKK-CDG) ในชั้นธุรกิจ หรือ Royal Silk Class โดยการเดินทางในเที่ยวบินนี้ ผมได้เดินทางไปในนาม Blogger เพื่อไปเขียนบทความเกี่ยวกับ “พิธีส่งมอบเครื่องบิน Airbus A350XWB ลำแรกของการบินไทย“ที่ บริษัท Airbus เมืองตูลูส ประเทศฝรั่งเศส
ในบทความนี้ ผมจะเล่าเรื่องราวประสบการณ์การใช้บริการในชั้นธุรกิจ หรือ Royal Silk Class ว่าผมได้รับบริการดี ๆ อะไรมาบ้าง ตั้งแต่ตอน Check-in ยาวไปจนถึงสนามบินปลายทาง และเล่าเรื่องราวเล็ก ๆ น้อย ๆ เรื่องที่การบินไทยได้ปรับเปลี่ยนวิธีการเสิร์ฟอาหาร ให้ดีขึ้นกว่าเมื่อก่อน รวมไปถึงผมจะเล่าเรื่องราวประสบการณ์การต่อเครื่องบินจาก ปารีส ไปยังเมือง ตูลูส และอาหารมื้อแรกในฝรั่งเศสอีกเล็กน้อยเป็นของแถม เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ขอเชิญท่านผู้อ่านทุกท่านมาชมด้วยกันต่อเลยครับ
“ค่ำวันที่ 27 สิงหาคม พ.ศ.2559 ณ สนามบินสุวรรณภูมิ”
การ เดินทางได้เริ่มต้นขึ้นที่นี่ “สนามบินสุวรรณภูมิ” ผมได้นัดเจอกันกับคณะผู้ร่วมเดินทางไว้เวลา 21.00 น. ที่แถวเช็คอิน Row A ซึ่งเป็นแถวที่การบินไทยจัดเอาไว้บริการผู้โดยสารในชั้นธุรกิจ (Royal Silk) และ ชั้นหนึ่ง (First Class) โดยเฉพาะ เมื่อถึงเวลานัดหมายแล้ว พวกเราคณะเดินทางจึงได้ไปทำการ Check-in กันทันที และเมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว ผู้โดยสารที่เดินทางในชั้นธุรกิจและชั้น First Class จะได้ใบผ่านเข้าช่อง Fast Track มาใช้ผ่านแบบสบาย ๆ ซึ่งในช่อง Fast Track นี้ อยู่บริเวณหลัง Row A เลยครับ
ที่ แถวเช็คอินใน Row A นี้ ผมชอบมากเลยครับ ถึงแม้ว่าคนจะเยอะในวันที่ผมไป แต่ก็ดูไม่วุ่นวาย พนักงานบริการรวดเร็วดี มีเบาะโซฟานุ่ม ๆ ให้นั่งสบาย ๆ ระหว่างรอด้วย เรียกได้ว่า รู้สึกดีตั้งแต่ก่อน Check-in เลยหละ
ขอขอบคุณ Wi-Ho! ผู้สนับสนุน Pocket Wifi ให้เราได้ใช้ Internet กันในทริปนี้
เมื่อ เข้ามาในช่อง Fast Track ก็จะเป็นขั้นตอนการตรวจสแกนสัมภาระและร่างกาย ตามขั้นตอนการรักษาความปลอดภัยตามปกติ และผ่านขั้นตอนการตรวจคนออกนอกเมือง ประทับตราออกจากประเทศไทยในหนังสืิอเดินทางเรียบร้อย ทั้งหมดนี้ ใช้เวลาไม่นานเลยครับ รู้สึกสะดวกดี ประทับใจในความรวดเร็ว ไม่ต้องรอคิวยาวนาน เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น พวกเราก็เดินออกมาจากโซนตรวจคนออกนอกเมือง ลงบันไดเลื่อนมาเล็กน้อย ก็จะเจอกับมุมพักผ่อนสบาย ๆ ที่การบินไทยจัดไว้ให้ นั่นคือ ….
“THAI ROYAL SILK LOUNGE”
พวก เราเดินเข้ามาถึงหน้า Lounge ก็นำ Boarding Pass พร้อม Passport ให้เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบก่อนโดยใช้เวลาแป๊ปเดียว เราก็พร้อมเข้าไปใน Royal Silk Lounge แล้ว บรรยากาศภายใน Lounge ก็คึกคักเต็มไปด้วยผู้โดยสารที่มาใช้บริการกันอย่างมากมาย แต่ภายในความคึกคักนี้ กลับดูไม่วุ่นวาย เพราะผู้มาใช้บริการส่วนใหญ่ นั่งอยู่ที่โซฟานุ่ม ๆ ที่แต่ละคนได้จับจองพื้นที่เอาไว้ บ้างก็อ่านหนังสือพิมพ์ บ้างก็นั่งคุยกัน บ้างก็นั่งทานอาหารกัน เมื่อผมและคณะเดินทางได้หาที่นั่งได้เรียบร้อยแล้ว ผมก็ขอแยกตัวไปสำรวจ Lounge ที่นี่ ว่ามีอะไรน่าสนใจบ้าง
อาหาร การกินของ Lounge นี้ นับว่าดีเลยครับ ในช่วงเวลาที่ผมมาใช้บริการนั้นเป็นช่วงค่ำ อาหารที่นี่จะเป็นแบบบุฟเฟ่ ซึ่งวันนี้ได้มีเกี๊ยวน้ำร้อน ๆ ไว้ให้บริการ อาหารในไลน์ก็จะมีพวก ไส้กรอก ข้าวต้มมัด ขนมปังต่าง ๆ แซนวิส ผลไม้ต่าง ๆ ส่วนน้ำดื่ม ก็มีทั้งน้ำผลไม้ น้ำอัดลม ชา กาแฟ รวมถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วย มีให้บริการครบถ้วน เรียกได้ว่า อิ่มกันก่อนขึ้นเครื่องเลยทีเดียว
ส่วน บริการอื่น ๆ นอกจากจะมีโซฟานุ่ม ๆ ให้นั่งแล้ว ยังมีหนังสือพิมพ์ คอมพิวเตอร์พร้อม Internet และ Internet Wifi ไว้ให้บริการ มีห้องรับรองส่วนตัว ห้องน้ำ รวมไปถึง โซนเด็กเล่น ที่เอาไว้บริการให้กับเด็ก ๆ อีกด้วย
โดยรวมแล้ว ผมค่อนข้างชอบกับบรรยากาศ Lounge ที่นี่นะ ถึงแม้ว่าคนจะเยอะ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกวุ่นวาย คือได้นั่งสบาย ๆ ทานอาหารว่างเล็ก ๆ น้อย ๆ นั่งพูดคุยกันก่อนเดินทาง เพียงเท่านี้ผมก็พอใจในสิ่งที่ Royal Silk Lounge มีให้แล้ว
“อาหารดี กินอิ่ม นั่งสบาย แบบนี้แหล่ะ Lounge ในแบบนี้ผมต้องการ”
พวก เราชาวคณะเดินทางนั่งพักผ่อนกันที่ Royal Silk Lounge กันซักพักจนใกล้เวลาได้ขึ้นเครื่อง พวกเราจึงได้ออกมาจาก Lounge แล้วเดินไปยัง Gate ซึ่งวันนี้จะใช้ Gate C3 และเราก็เห็นจำนวนผู้โดยสารที่รออยู่หน้า Gate จำนวนมากพอสมควร.
ไม่นาน พนักงานภาคพื้นก็เริ่มประกาศเรียกผู้โดยสารขึ้นเครื่อง โดยผู้โดยสารชั้น Royal Silk และ Royal First ได้สิทธิ์ขึ้นเครื่องก่อนใคร ผมและคณะเดินทางก็เลยได้ขึ้นเครื่องเป็นชุดแรก ๆ เลยครับ เมื่อเข้ามาในเครื่อง ก็ได้รับการต้อนรับจากลูกเรือด้วยรอยยิ้มที่เป็นมิตร
ใน วันนี้ เครื่องบินที่เราจะบินไปปารีสในเที่ยวบิน TG 930 นี้ เป็นเครื่องบิน Airbus A380 ทะเบียน HS-TUE นามพระราชทาน “ศรีราชา” เป็นเครื่องบินลำใหญ่ที่สุดที่การบินไทยให้บริการในขณะนี้ ปัจจุบันมีจำนวน 6 ลำ สามารถบรรจุผู้โดยสารได้ 507 ที่นั่ง แบ่งเป็น ชั้น Royal First จำนวน 12 ที่นั่ง , ชั้น Royal Silk จำนวน 60 ที่นั่ง และชั้น Economy จำนวน 435 ที่นั่ง เครื่องบินลำนี้มีจำนวน 2 ชั้น โดยในชั้นล่าง จะเป็นที่นั่งของชั้น Economy ทั้งหมด ส่วนในชั้นบน ด้านหน้าจะเป็นที่นั่งของชั้น Royal First , ส่วนกลางจะเป็นที่นั่งในชั้น Royal Silk และส่วนท้ายจะเป็นที่นั่งชั้น Economy
Credit : seatguru.com
โดย ในเที่ยวบินนี้ผมได้นั่งที่นั่ง 22G ในชั้น Royal Silk ซึ่งอยู่ชั้นบนของเครื่องบิน Airbus A380 เมื่อ มาถึงที่นั่ง ผมก็พบกับอุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ วางไว้บนที่นั่ง ได้แก่ หมอน ผ้าห่ม หูฟัง รองเท้า น้ำดื่ม และ Amenity Kit เช่น แปลงสีฟัน ยาสีฟัน น้ำยาบ้วนปาก โลชั่น ลิป ถุงเท้า ที่อุดหู หวี ได้ถูกใส่รวมในกระเป๋าให้อย่างดี
ขอบคุณรูปภาพจาก : www.thaiairways.com
สำหรับ การจัดที่นั่งบนชั้น Royal Silk บนเครื่องบิน Airbus A380 นั้น จะจัดเป็นแบบ 1-2-1 เบาะที่นั่งสามารถปรับเอนได้ถึง 180 องศา กันเลยทีเดียว ถ้านั่งเมื่อย ๆ ก็สามารถสั่งให้เบาะนวดหลังเราได้ด้วย อันนี้ผมชอบมาก หน้าจอของระบบ In Flight Entertainment มีขนาดใหญ่และเป็นระบบสัมผัส เราสามารถกดดูกล้องจากบนหางเครื่องบินได้ด้วย เท่าที่ผมทราบบนเครื่องบินของการบินไทย นอกจาก Airbus A380 แล้ว เครื่องบินน้องใหม่ Airbus A350 ก็เป็นอีกรุ่นที่มีมุมกล้องแบบนี้ให้ดูได้บนจอ IFE ครับ มีปลั๊กแบบ Universal ให้เสียบ และมีช่องเสียบ USB เอาไว้ให้เราใช้งานกันถึง 2 ช่อง ซึ่งสะดวกมากเมื่อเอามาชาร์ตกับอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น โทรศัพท์มือถือ มีช่องเสียบหูฟัง และ ไฟอ่านหนังสือ ที่ปรับระดับความสว่างได้ตามใจเรา มีรีโมทคอนโทรลที่เอาไว้ควบคุมทุกอย่าง ตั้งแต่หน้าจอ IFE ในการเลือกรายการต่าง ๆ , เรียกพนักงานบนเครื่อง จนไปถึงปรับความสว่างของไฟอ่านหนังสือ
เมื่อผมจัดการกับสัมภาระที่ผม Carry on ขึ้นเครื่องมาเรียบร้อย ก็ได้นั่งประจำที่ ไม่นานลูกเรือได้นำผ้าร้อนมาบริการให้คู่กับ Welcome Drink พร้อมกับแนะนำตัว ซึ่งในครั้งนี้ คุณ หน่อย ได้มาให้บริการผมครับ โดยคุณหน่อยได้แจ้งผมว่า หากต้องการอะไรเพิ่มเติม ก็เรียกได้ตลอดเวลาได้เลย. คุณหน่อยแนะนำว่าวันนี้มีเครื่องดื่มอะไรบ้าง ซึ่งได้แนะนำเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์มาหลายอย่าง แต่ผมขอรับเป็นน้ำส้มแบบง่าย ๆ แทนครับ. ไม่นานสัญญาณเตือนให้รัดเข็มขัดก็ดังขึ้น ผมก็เตรียมตัวรัดเข็มขัดให้เรียบร้อย เพราะเครื่องบิน Airbus A380 กำลัง Taxi เพื่อเตรียม Take off บินสู่ปารีส ประเทศฝรั่งเศส ในอีกไม่นานนี้แล้ว
“การเดินทางกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว”
เมื่อเครื่องบินไต่ระดับได้ที่ จนสัญญาณรัดเข็มขัดดับลง เหล่าลูกเรือก็เริ่มนำของทานเล่นมาให้ทาน และแจกบัตร THAI Sky Connect ให้ใช้ Internet Wifi บนเครื่องบินให้ฟรี 5 MB มาให้ด้วย
ของว่างทานเล่นระหว่างรอเสิร์ฟมื้อแรก นั้นจะเป็นถั่ว และเครื่องดื่มที่เราเลือกได้อีก คราวนี้ คุณหน่อยแนะนำ น้ำอัญชัญมะนาว เป็นเครื่องดื่มที่คุณหน่อยภูมิใจนำเสนอมาก และผมก็ลองดูปรากฏว่า ผมชอบมาก ดื่มแล้วสดชื่นเลยครับ มีรสหวานนำ แล้วรสเปรี้ยวเล็กน้อย กลิ่นหอมมาก ประทับใจมากเลยครับกับเครื่องดื่มนี้
เมื่อ ทานเสร็จแล้ว คุณหน่อยก็เข้ามาเก็บแก้วและสอบถามว่า ในมือแรก จะเสิร์ฟเป็นมื้อ Dinner เราจะรับเมนูไหน โดยจะมีอาหารไทย และ อาหารยุโรป ดังนี้
อาหาร ไทย จะมีเมนู ลาบไก่ เป็ดตุ๋นมะนาวดอง ผัดผักขมไฟแดง ข้าวหอมมะลิ และมีให้เลือก 2 อย่าง ระหว่าง คั่วกลิ้งหมู หรือ แกงคั่วกุ้งสัปปะรด โดยจะเสิร์ฟเป็นแบบสำรับแบบไทย
อาหารตะวันตก จะเสิร์ฟเป็นคอร์ส มี 2 แบบให้เลือก
แบบที่ 1 อาหารจานแรก จะเป็นแซลมอนโรลม้วนเนื้อปู ครีมตับเป็ด มะเขือเทศเชอร์รี่กับมอสซาเรลล่าชีส อาหารจานหลัก จะเป็น สเต็กเนื้อ ซอสบราวน์เพสโต ซัลซ่ามะเขือเทศ มันฝรั่งอบ หน่อไม้ฝรั่งผัดเนย
แบบที่ 2 อาหารจานแรก จะเป็น ตับห่านปรุงรส โพเลนต้า แอปเปิ้ลคาราเมล มาร์มาเลตหัวหอม อาหารจานหลัก จะเป็น ปลาแซลมอนอบ ซอสพริกหวาน ซอสบราวน์ พาสต้า ผัดผักขม
โดยทั้ง 2 แบบ จะเสิร์ฟพร้อมกับ ขนมปัง เนย
เมื่อ ทานจานหลักเสร็จแล้ว ก็จะเสิร์ฟขนมปังอีกครั้ง พร้อมกับเนยแข็งต่าง ๆ และผลไม้สดขนมหวาน มีกล้วยบวชชี หรือ ทาร์ตแอปเปิ้ลคาราเมล เสิร์ฟพร้อม ไอศรีมวานิลลา เป็นการปิดท้าย
สำหรับเมนูที่ผมเลือกไว้ จะเป็นเมนูแบบตะวันตกแบบที่ 1 ครับ การเสิร์ฟนั้น เริ่มจากคุณหน่อยได้กางโต๊ะแล้วปูผ้ารองให้เรียบร้อย แล้วนำพวกขนมปัง เนย เครื่องปรุง เกลือ พริกไทย เครื่องดื่ม มาวางจัดเรียงอย่างสวยงาม ซึ่งผมขอรับน้ำอัญชัญมะนาวเพิ่มอีกแก้วเพราะยังติดใจอยู่เลย และจานแรกคือ ครีมตับเป็ด เป็นอาหารเรียกน้ำย่อย ซึ่งเรียกน้ำย่อยผมได้ดีทีเดียว ปกติแล้ว ผมเป็นคนที่ไม่ทานเครื่องในเลย เพราะไม่ชอบกลิ่นของเครื่องใน แต่วันนี้ ผมขอลองทานดู ปรากฏว่า ผมทานได้สบาย ๆ ถึงแม้ว่ายังมีกลิ่นของตับอยู่บ้าง แต่มันไม่แรงจนเกินไป และเมื่อนำมาทำเป็นครีมแล้ว เลยอร่อยลงตัว กลายเป็นเมนูที่ผมชอบไปเลยครับ ส่วน เมนูแซลมอนโรลม้วนเนื้อปู เนื้อแซลมอนม้วนมาด้านในเป็นเนื้อปูที่ผ่านการปรุงรสมาแล้วบดให้เป็นก้อน กินเพลิน ๆ ได้ดีทีเดียว อันนี้ก็โอเคเลยครับ ส่วนมะเขือเทศเชอร์รี่กับมอสเซเรลล่าชีส มาในรูปแบบเสียบไม้ ผมกินพร้อมกันทีเดียวคำเดียวหมด รสชาติโอเคดีครับ กลิ่นชีสจัดเต็มคละคลุ้งเต็มปาก ตัดกับความหวานของมะเขือเทศเชอร์รี่ได้ดีทีเดียว
“อาหารเรียกน้ำย่อยจานนี้ อร่อยดีจนน่าประทับใจ”
เมนูต่อมานั้น คือเมนูจานหลัก เป็นเมนูสเต็กเนื้อราดซอสบราวน์เพสโตซัลซ่ามะเขือเทศ และมี มันฝรั่งอบ และ หน่อไม้ฝรั่งผัดเนย เป็นเครื่องเคียง สำหรับเมนูจานหลักนี้โดยรวมแล้วรสชาติอร่อยดี เสียดายนิดเดียว ที่สเต็กเนื้อ ไม่สามารถเลือกความสุกในระดับ Medium-rare แบบที่ผมชอบได้ ด้วยข้อจำกัดทางเทคนิคบางประการครับ การเสิร์ฟเนื้อเลยต้องเสิร์ฟในระดับความสุข Medium ทำให้เนื้อมีความเหนียวอยู่บ้าง แต่ไม่ได้เหนียวจนทานยากเกินไป เมื่อทานคู่ไปกับเครื่องเคียงแล้ว รสชาติก็ไปด้วยกันด้วยดี กินเพลิน ๆ แป๊ปเดียวก็หมดจานแล้วครับ
“ถึงแม้จะเหนียวไปหน่อย แต่รสชาติก็อร่อยดี”
เมนูต่อมา เป็นของทานเล่นล้างปาก จะเป็นผลไม้ และขนมปัง พร้อมกับเนยแข็งชนิดต่าง ๆ ซึ่งถึงตรงนี้ ผมทานได้นิดหน่อยก็ไปต่อไม่ไหวแล้วครับ อิ่มมาก เลยบอกลูกเรือคุณหน่อยว่า ขอพอแค่นี้ ไม่รับของหวานและไอศรีมที่คุณหน่อยกำลังจะเตรียมเสิร์ฟต่อไปแล้วครับ คุณหน่อยเลยสอบถามเมนูอาหารเช้าที่จะเสิร์ฟในมื้อถัดไปก่อนเครื่องลง ว่าจะรับเมนูอาหารเช้าแบบไหน และให้ปลุกเพื่อมารับประทานอาหารไหม ผมก็ตอบตกลงไปว่าช่วยปลุกผมให้ด้วยครับ เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว คุณหน่อยก็จัดการเก็บภาชนะ ผ้าปูโตะจนเรียบร้อย แล้วแจ้งว่า หากต้องการอะไร สามารถเรียกได้เลย ผมเลยขอน้ำเปล่าอีก 1 แก้ว ไม่นาน คุณหน่อยก็นำมาให้พร้อมกับแจ้งว่า ด้านข้างยังมีน้ำแร่ไว้บริการ 1 ขวดด้วย หากกลางคืนหิวน้ำ สามารถหยิบมาดื่มได้เลย ผมกล่าวขอบคุณแล้วคุณหน่อยกล่าวราตรีสวัสดิ์กับผมด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
เมื่อผมก็ลองเล่นระบบ In Flight Entertainment บนเครื่อง ก็พบกับหนังเรื่อง Captain America : Civil War ก็ตกใจเลย เพราะถือว่าอัพเดทใหม่มาก ก็เลยเสียบหูฟัง แล้วดูไปจนครึ่งเรื่อง ก็เริ่มง่วงแล้วครับ เลยหาเพลงฟังบ้าง ค้นไปค้นมา เจอเพลงของนักร้องชาวญี่ปุ่นที่ผมชอบอีกคนนึง คือ May’N ก็เลยฟังเพลงของเธอแล้วก็นอนหลับแบบสบาย ๆ ไปครับ
หลับ ไปได้ซัก 5 ชั่วโมงกว่า ๆ ผมก็ตื่นขึ้นมาเข้าห้องน้ำ แล้วก็ตาสว่างเลยครับ เลยดูหนัง Captain America ต่อจากเมื่อคืนจนจบ ก็ใกล้เวลาเสิร์ฟมื้อเช้าพอดี
สักพักนึง คุณหน่อย ลูกเรือที่คอยให้บริการผมก็นำผ้าร้อนและน้ำเปล่ามาให้ดื่มเพื่อความสดชื่น พร้อมเตรียมทานมื้อเช้า โดยมื้อเช้าวันนี้จะมี 2 แบบให้เลือก แบ่งเป็นแบบไทย และ แบบตะวันตก
แบบไทย จะเสิร์ฟ ข้าวต้มปลากะพง พร้อมไข่ทอดหัวหอม
แบบตะวันตก จะมี 3 แบบให้เลือก ระหว่าง
แบบที่ 1 ไข่กวน เบคอน ผัดมันฝรั่งและเห็ด ผัดซูกินีกับฮาเชลนัท มะเขือเทศเชอร์รี่
แบบที่ 2 จะเป็นอาหารจานเย็น เช่น แฮม ซาลามี่ เนยแข็งกรุยแยร์
แบบที่ 3 จะเป็นอาหารเช้าแบบคอนติเนนตัล ได้แก่ขนมปังต่างชนิด เนย แยม
โดยก่อนจะเสิร์ฟนั้น ก็จะมีการเสิร์ฟผลไม้ ขนมปัง เนย แยม โยเกิต ก่อน แล้วตามด้วยเมนูที่เลือกไว้ ซึ่งผมเลือกแบบตะวันตกแบบแรก เพราะอยากทานไข่กวนครับ สำหรับเมนูไข่กวนนั้น รสชาติอร่อยดี ไข่กวน กวนมานิ่ม ๆ ที่ความสุกกำลังดี เมื่อนำมากินกับเครื่องเคียงต่าง ๆ ตั้งแต่ เบคอน มันฝรั่ง เห็ด และอื่น ๆ ก็เข้ากันดี กินเพลิน ๆ แป็ปเดียวก็หมด อิ่มพอดีสำหรับอาหารเบา ๆ ในมื้อเช้าแบบนี้เลยหละ
“เป็นอาหารมื้อเช้าแบบเบา ๆ ที่อร่อยลงตัว”
ระหว่างรอถึงจุดหมายปลายทาง ลูกเรือก็ได้นำใบ Acces No.1 ซึ่งเหมือนใบ Fast Track ของทางสนามบิน CDG มาแจกให้กับผู้โดยสารชั้น Royal Silk และ Royal First ทุกคนได้ เข้าคิวช่องตรวจคนเข้าเมืองช่องพิเศษโดยเฉพาะ หลังจากแจกเสร็จแล้ว ผมก็ได้พูดคุยกับคุณหน่อย ลูกเรือที่คอยให้บริการผมเกี่ยวกับการเสิร์ฟอาหาร
คุยไปคุยมาก็ทราบมาว่า ตอนนี้การบินไทยได้ปรับเปลี่ยนวิธีการเสิร์ฟอาหารแบบใหม่แล้ว โดยถ้าผู้โดยสารเลือกเมนูอาหารไทย ก็จะเสิร์ฟแบบสำรับสไตล์ไทยเลย คือผู้โดยสารสามารถเลือกได้เลยว่า ต้องการอะไรบ้าง และจะจัดใส่ถ้วย ใส่ชาม มาให้แยกกัน และค่อย ๆ ทยอยเสิร์ฟแบบคอร์สเหมือน สไตล์ตะวันตกเลยครับ แต่ถ้าหากผู้โดยสารยังเลือกอาหารแบบแบบตะวันตก ก็จะยังคงเสิร์ฟเป็นคอร์สแบบเดิม และสิ่งสำคัญที่เพิ่มเติมมาใหม่คือ มีเมนูให้เลือกมากขึ้น โดยเฉพาะเมนูนอกเวลาเสิร์ฟปกติ ผู้โดยสารสามารถเลือกเมนูพิเศษได้เพิ่มเติม เช่น
– เส้นหมี่น้ำ ลูกชิ้นหมู , ผัดไทยกุ้ง , คีชเบคอนและหัวหอม เสิร์ฟพร้อมผัดสลัด
โดย การเสิร์ฟแบบใหม่นี้ จะมีให้บริการในชั้น Royal Silk และ Royal First เท่านั้น ในชั้น Economy ยังเป็นการเสิร์ฟแบบเดิมเหมือนเดิมครับ
คุณหน่อยยังบอกอีกว่า น่าเสียดายที่ผมไม่ได้ลองสั่งผัดไทยกุ้งมาลองทานดู คุณหน่อยอยากนำเสนอมาก เห็นว่าอร่อยมากจนเป็นเมนูแนะนำเลย ผมก็เสียดายเหมือนกันที่ไม่ได้สั่ง เพราะว่าแค่เมนูหลักปกติ ก็ทำผมอิ่มจนไปต่อไม่ไหวแล้ว
“เรียกได้ว่า การเดินทางครั้งนี้ อาหารดี กินอิ่มท้อง นอนสบาย ประทับใจสุด ๆ”
เผลอ แป๊ปเดียว กัปตันก็ประกาศว่า อีกไม่นานก็จะถึงจุดหมายปลายทางแล้ว คุณหน่อยก็เข้ามาขอบคุณที่ใช้บริการการบินไทย และหวังว่าจะได้พบกันอีกในครั้งหน้า คุณหน่อยได้ชวนผมคุยด้วยว่า มาครั้งนี้มาเที่ยวรึป่าว มากี่วัน ผมบอกว่า มา 3 วันครับ และจะกลับมาพร้อมกับเครื่อง Airbus A350 ในเที่ยวบินส่งมอบ ซึ่งตอนนั้น คุณหน่อยก็เพิ่งทราบครับว่าผมมาเขียนบทความด้วย ผมเลยแจ้งคุณหน่อยว่า เดี๋ยวผมจะเขียนบทความรีวิวการเดินทางในเที่ยวบินนี้ให้ด้วยนะ เราพูดคุยกันอีกเล็กน้อย ผมก็กล่าวขอบคุณคุณหน่อยที่คอยให้บริการผมเป็นอย่างดีและน่าประทับใจ ก่อนที่คุณหน่อย จะขอตัวไปทำงานต่อ
เครื่อง บิน Airbus A380 คุณศรีราชา ได้เริ่มไต่ระดับลงแล้วค่อย ๆ แตะพื้นรันเวย์อย่างนิ่มนวล ที่สนามบิน ปารีส ชาร์ล เดอ โกล (CDG) และได้ Taxi จนเข้าสู่ Gate แล้ว ผมและคณะเดินทาง ได้ออกจากเครื่องแล้วก็เจอกับพนักงานภาคพื้นคนหนึ่งถือป้ายชื่อพวกเรารออยู่ หน้าประตูเครื่องเลยครับ
การเดินทางในครั้งนี้ เรามาในฐานะแขกของบริษัท Airbus ทางบริษัท Airbus เลยอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เพิ่มเข้ามาให้ โดยเริ่มตั้งแต่พนักงานคนนี้ที่มารอเราตั้งแต่ประตูเครื่องบินเลยครับ พวกเราคณะเดินทางได้รับการอำนวยความสะดวกอย่างดีจากพนักงานท่านนี้ (ผู้หญิงที่ใส่ชุดดำสะพายกระเป๋าในรูป) ตั้งแต่พาไปทำพิธีตรวจคนเข้าเมือง พาไปรับกระเป๋า พาขึ้นรถไฟฟ้าเพื่อเดินทางไปอีก Terminal จนกระทั่งช่วยทำการ Check in ผ่านตู้คีออสให้ ผมต้องขอขอบคุณจริง ๆ เลยครับ เพราะถ้าไม่ได้พนักงานคนนี้ ผมคงทำอะไรไม่ถูกแน่ ๆ ดีไม่ดี อาจจะไปต่อเครื่อง เพื่อเดินทางไปตูลูสไม่ทัน เพราะสนามบิน CDG นั้น ทั้งใหญ่มากและชวนงงมาก
ไหน ๆ ก็พูดถึงการ Check-in ที่สนามบินแห่งนี้แล้ว ก็ขอเล่าให้ฟังเล็กน้อยกันต่อดีกว่า ตอน ทำ Self Check-in นั้น ก็ไม่มีขั้นตอนอะไรมากครับ แค่เอา Passport ไป scan ที่เครื่อง แล้วเครื่องก็จะพบข้อมูล booking ของเรา จากนั้นก็เลือกจำนวนกระเป๋าที่เราจะโหลด พอเลือกแล้ว ก็จะมีสติกเกอร์พร้อม Tag ให้เราเอาไปติดกระเป๋า ส่วน Tag อีกชิ้นจะเป็นสติกเกอร์ก็เก็บไว้กับตัว แล้วก็รับ Boarding pass เสร็จแล้ว !! ดูเหมือนจะยาก แต่พอดูพนักงานเขาทำให้แล้ว ก็ไม่ยากอย่างที่คิด
หลังจากที่ทำการ Self Check-in แล้ว พนักงานคนนี้ก็ขอแยกตัว เธอบอกกับพวกเราว่า หน้าที่เธอจบที่ตรงนี้ ต่อไปก็จะเป็นการเอากระเป๋าไป drop ที่ช่อง Bag drop ด้วยตัวเอง หลังจากนี้ไป ก็แทบไม่เจอพนักงานอำนวยความสะดวกแล้ว เราต้องเจอกับตู้คีออส ให้เราทำด้วยตัวเองแล้ว
“ความสนุกกับการงงในสิ่งใหม่ ๆ ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว”
โชค ดีที่คณะเรา มีกัปตันเทิน Turn Jetrider มาด้วย พี่เทินเขาเคยมาที่นี่แล้ว เมื่อสมัยที่พี่เทินยังบินเครื่องบินแบบ Boeing 747 เลยคุ้นเคยกับระบบแบบนี้บ้าง พี่เทินเลยจัดการทำให้ดู พอดูแล้วก็ไม่ยากเท่าไรนะ
วิธีการทำ Bag drop ก็ง่าย ๆ แค่เอาที่ scan barcode ไปยิง barcode ใน boarding pass ของเราก่อน จากนั้นเครื่องก็จะให้เรายิง barcode ตัวสติกเกอร์ที่ติดกระเป๋า แล้วก็ยกกระเป๋าใส่สายพาน เมื่อทุกอย่างไม่เจอปัญหาอะไร ก็เสร็จเรียบร้อยก็เดินหล่อ ๆ เข้าไปใน Gate กันต่อได้เลย
แน่นอนครับว่า ก่อนเข้า Gate ก็ต้องตรวจเอกสารและสัมภาระก่อน อันนี้ไม่ต่างจากเมืองไทยครับ
ด้าน ในหลังจากผ่านด่านตรวจแล้ว เราก็จะพบกับร้านค้ามากมายที่คอยดักเงินในกระเป๋าเรา แต่พวกเรามีเวลาไม่มาก เพราะใกล้เวลา Boarding ในเที่ยวบินถัดไปแล้ว พวกเราเลยไม่ได้เดิน Shopping ตามที่คิดไว้เลยครับ พวกเราเอาแต่รีบเดินมาที่ Gate กันทันทีเพราะกลัวตกเครื่อง
ในครั้งนี้ เราจะบินไปเมืองตูลูส ด้วยสารการบิน Air France เที่ยวบินที่ AF7518 CDG-TLS โดยใช้เครื่องบิน Airbus A321 ทำการบินในเที่ยวบินนี้. เท่าที่ดูด้วยสายตา ผมคิดว่าผู้โดยสารน่าจะเกือบเต็มลำแน่ ๆ ครับ เพราะหน้า Gate คนเยอะมาก
ตอน จะผ่าน Gate เข้าไปในเครื่อง ก็ต้องผ่านเครื่องคีออสอีก เราต้องเอา Boarding pass ไป scan ที่ตู้คีออส ประตูถึงจะเปิดให้เราผ่านไปได้ อันนี้ไม่ยากครับ
ขึ้น เครื่องแล้ว ก็เก็บกระเป๋า นั่งประจำที่ วันนี้ผมได้ที่นั่ง 05D ริมทางเดิน อดนั่งริมหน้าต่างอีกแล้ว แอบเสียดายเล็กน้อย พอเครื่องขึ้นปุ๊ป เหล่าลูกเรือก็ให้บริการอาหารกันตามปกติ เป็นขนมคุ๊กกี้ และน้ำดื่ม ไม่มีอะไรเป็นพิเศษครับ แต่ผมแอบดีใจนึงนะว่า ..
“ในที่สุด ก็ได้เจอคนมาให้บริการซักที”
เสียดาย ที่ผมถ่ายรูปบรรยากาศในเที่ยวบินนี้มาได้มากน้อยมาก เพราะผมไม่ค่อยมั่นใจว่าผมจะถ่ายรูปบนเครื่องบินได้มากแค่ไหน ถ่ายภาพขณะที่ลูกเรือกำลังทำงานได้ไหม ? ถ่ายบรรยากาศให้เห็นผู้โดยสารเต็มลำได้ไหม ? ถ่ายโดยไปเห็นหน้าผู้โดยสารท่านอื่นจะเป็นอะไรรึป่าว ? ถ้ามีปัญหาจะโดนกัปตันดีดผมออกจากเครื่องไหม ? ผิดกฏหมายอะไรไหม ? จะโดนจับตอนเครื่องลงไหม ? เรื่องนี้ผมคิดอยู่ตลอด เพราะผมมาต่างบ้านต่างเมือง ผมก็ไม่รู้ว่ากฏหมายที่นี่เขาห้ามอะไรบ้าง ห้ามมากน้อยแค่ไหน จนตัดสินใจขอไม่ยกกล้อง DSLR มาถ่ายภาพดีกว่า แต่อย่างน้อย ๆ ผมก็แอบเอามือถือถ่ายภาพเล็ก ๆ น้อย ๆ มาให้ท่านผู้อ่านได้ดูนิดหน่อยพอหอมปากหอมคอ
พวก เรานั่งเครื่องบินลำนี้ บินไปชั่วโมงกว่า ก็ถึงสนามบิน Toulouse แล้วครับ ในตอนจังหวะเครื่องแตะพื้นรันเวย์ แม้ผมจะนั่งริมทางเดิน แต่ผมก็อดไม่ได้ที่จะมองไปที่หน้าต่าง ผมเห็นฝั่งโรงงานบริษัท Airbus อยู่ไกล ๆ ด้วยความตื่นเต้น และผมเห็นเครื่องบินต่าง ๆ มากมายจอดเรียงรายอยู่เป็นจำนวนมาก และที่ผมเห็นอยู่แว๊บเดียวและรู้สึกตื่นเต้นมากจนร้องในใจออกมาว่า ….
“เฮ้ย !!! นั่นเบลูก้า !!!!!”
นี่ เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นเครื่องบินเบลูก้า “ของจริง” จอดอยู่ 4 ลำเรียงรายกันด้วยสายตาตัวเอง นาทีนั้น ผมตื่นเต้น นั่งยิ้มอย่างมีความสุข ใครจะไปคิดหละครับว่า ชีวิตนี้ ผมจะมีโอกาสได้เห็นเครื่องบินในตำนานลำนี้ได้ซักครั้งในชีวิต เสียดายที่เวลาผ่านไปเร็วมากจนผมยกมือถือมาถ่ายภาพไม่ทัน
“นี่แหล่ะครับ ความสุขเล็ก ๆ อย่างหนึ่งของคนชอบดูเครื่องบินอย่างผม”
เมื่อ เครื่องบินจอดสนิทจนสัญญาณรัดเข็มขัดดับลง ผมลงจากเครื่องบิน แล้วเดินไปรับกระเป๋าที่สายพาน จากนั้นก็มีคณะจากบริษัท Airbus มาคอยต้อนรับพวกเรา และ พาเราขึ้นรถบัสไปยังโรงแรม Radisson Blu Hotel Toulouse Airport
โรงแรม แห่งนี้ เป็นโรงแรมสบาย ๆ ที่อยู่ใกล้กับสนามบินมาก เพียง 5 นาทีก็ถึงแล้ว พวกเราคณะเดินทางก็ได้ทำการ Check-in เก็บของในห้องให้เรียบร้อย แล้วก็มารับประทานอาหารมื้อแรกในโรงแรมนี้ โดยทาง Airbus เป็นเจ้าภาพจัดเลี้ยง ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ผมขอรีวิวอาหารมื้อนี้เป็นของแถมให้ท่านผู้อ่านเป็นการส่งท้ายบทความตอนนี้ ก็แล้วกัน …
เริ่ม ที่จานแรก เป็นอาหารเรียกน้ำย่อย เป็นเหมือนสลัดน้ำยำใส่กุ้งและหอย โรยด้วยผักต่าง ๆ และพริกป่น มีรสชาติเผ็ดหน่อย ๆ รู้สึกรสชาติออกมาทางเอเชียมากกว่าทางยุโรปนะ จานนี้ กินจนเกลี้ยงจานเลย จานนี้ชอบมากครับ ให้เต็ม 10 เลย
จาน ที่สอง เป็นเสต็กหมูครับ เนื้อหมูค่อนข้างจืดและเหนียว แต่พอมีน้ำราด และกินกับเครื่องเคียง ถือว่าพอไปด้วยกันได้ จานนี้ กินจนหมดจานเช่นกัน ให้ 7/10 ครับ
จาน สุดท้าย ของหวาน เป็นเค้กรสผลไม้อะไรซักอย่างที่ผมนึกไม่ออก ราดด้วยซอสหวานคล้าย ๆ แยม ด้านบนปักด้วยช๊อกโกแล็ต จานนี้ อร่อยดีครับ ไม่หวานมากเกินไป ได้กลิ่นผลไม้ เนื้อเค้กนุ่มดีมาก เมื่อทานคู่กับน้ำราด ก็ได้รสชาติที่เข้ากันอย่างลงตัว จานนี้ให้ 10 เต็มเลย
ผมเจอ Culture shock เรื่องอาหารการกินอยู่นิดหน่อยก็คือ เรื่องน้ำดื่ม ที่นี่เขามีน้ำดื่มอยู่ 2 แบบ คือ น้ำเปล่าแบบปกติที่เรียกว่า Still Water และ น้ำเปล่าที่อัดแก๊สที่เรียกว่า Sparkly Water ซึ่งมันก็คล้ายกันกับน้ำโซดา นั่นเอง ผมลองดื่ม Sparkly Water ดูแล้ว รู้สึกไม่ชอบอย่างแรง อารมณ์มันเหมือนกินน้ำโซดาเปล่า ๆ เลยครับ มันรู้สึกแปลก ๆ ทุกครั้งที่ได้ดื่มจนต้องเรียกหาน้ำเปล่าแบบปกติอยู่เสมอ จนถึงวันกลับ ผมก็ยังไม่คุ้นชินอยู่ดี เรื่องนี้นับว่าเป็น Culture shock ด้านอาหารการกินที่ผมปรับตัวตามไม่ทันในช่วงเวลาที่ผมอยู่ที่นี่จริง ๆ ครับ
เมื่อ ทานกันเสร็จแล้ว ทาง Airbus ได้เชิญพวกเราไปยังพิพิธภัณฑ์อากาศยานของ Airbus เพื่อไปดูประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจของเครื่องบินต่าง ๆ ที่ Aeroscopia Museum ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับโรงงาน Airbus ที่นี่มีอะไรน่าสนใจมากมาย เพราะที่นี่เต็มไปด้วย……..
“ประวัติศาสตร์ในอดีต ที่คอยสร้างแรงบันดาลใจให้คนรุ่นปัจจุบัน”
เรื่อง ราวในตอนต่อไป จะเป็นการพาทำความรู้จักกับพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ และยังมีเรื่องราวของเมืองตูลูส และโรงงานประกอบชิ้นส่วนขั้นสุดท้ายของบริษัท Airbus ที่ผมอยากจะเล่าให้ท่านผู้อ่านได้อ่านกัน ซึ่งผมขอยกไว้ไปเป็นตอนหน้า โปรดติดตามตอนต่อไป เร็ว ๆ นี้ครับ
และนี่คือบทความทั้งหมดในซีรีย์ “บินตรงไปรับมอบเครื่องบิน Airbus A350 ลำแรกของการบินไทย ณ เมืองตูลูส ประเทศ ฝรั่งเศส” จำนวน 4 ตอนหลัก และ 1 ตอนพิเศษ
ตอนที่ 1 :บินดีอย่างมีระดับ กับเที่ยวบินตรงไปฝรั่งเศสด้วยชั้นธุรกิจ “Royal Silk” โดยการบินไทย Airbus A380
ตอนที่ 2 :ชวนมาดูเครื่องบินรุ่นเก่าที่เป็นตำนาน ณ พิพิธภัณฑ์อากาศยาน Aeroscopia เมืองตูลูส ฝรั่งเศส
ตอนที่ 3 : อยากรู้ไหมว่าเขาสร้างเครื่องบินกันยังไง ? เราไปดูเขาประกอบเครื่องบินที่โรงงาน Airbus ประเทศฝรั่งเศสกันเถอะ
ตอนที่ 4 : ประสบการณ์จากตูลูสถึงเมืองไทย กับเที่ยวบินส่งมอบเครื่องบิน Airbus A350 ลำแรกของการบินไทย
ตอนพิเศษ : รู้ไว้ไม่ตกเทรนด์ กับข้อมูลน่ารู้ของเครื่องบินแบบใหม่ล่าสุด Airbus A350 XWB
- ขอบคุณการบินไทย ฝ่ายประชาสัมพันธ์ ฝ่ายสื่อสารภาพลักษณ์องกรณ์ ฝ่ายโซเชียลมีเดีย ที่ได้ให้โอกาส Blogger อย่างผม ได้มีโอกาสไปร่วมงานแห่งความทรงจำครั้งนี้ และให้การสนับสนุนค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้ครับ
- ขอขอบคุณ Wi-Ho! ผู้สนับสนุน Pocket Wifi ให้เราได้ใช้ Internet กันในทริปนี้
- ขอบคุณพี่แก้ว พี่หนึ่ง ที่คอยให้การสนับสนุนการทำงานของผมได้เป็นอย่างดี และให้คำแนะนำที่ดีเสมอมา
- ขอบ คุณพี่เทิน กัปตันสุดหล่อ ที่คอยให้คำแนะนำต่าง ๆ และให้ความรู้ด้านการบินเพิ่มเติมกับผมได้อย่างสนุกสนาน พี่เป็นพี่ชายที่น่ารักมากครับ
- ขอบคุณพี่ได๋ ไดอาน่า พี่สาวสุดน่ารัก ที่ชวนผมไปถ่ายภาพและชวนผมคุยตลอด พี่โพสท่าสวยมาก ผมนับถือในความเป็นมืออาชีพของพี่เลย
- ขอบคุณพี่วิน Vin Buddy ที่ถ่ายภาพสวย ๆ ให้กับงานนี้อย่างมืออาชีพ จนผมต้องทึ่งในความเก่งของพี่
- ขอบคุณทีมงานการบินไทยทุกคน ที่ช่วยทำให้งานนี้ออกมาดีจนผมรู้สึกประทับใจ
- และสุดท้าย ผมขอขอบคุณพี่แอ๊ด ที่คอยให้การสนับสนุนผมมาตลอดครับ
4 thoughts on “บินดีอย่างมีระดับ กับเที่ยวบินตรงไปฝรั่งเศสด้วยชั้นธุรกิจ “Royal Silk” โดยการบินไทย Airbus A380”